
วันที่ 17 กรกฎาคม 2568
ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนาวิชาการและการประชุมรับฟังความเห็น ในหัวข้อ “จากอนุสัญญาสตอกโฮล์มถึงกฎหมายไทย: อัปเดตสาร POPs และเตรียมความพร้อมจัดการ PFAS และ POPs ให้สอดคล้องพันธกรณีระหว่างประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการที่เอ็มเทค ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจาก องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (POPs) ให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ พร้อมส่งเสริมความปลอดภัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และดำเนินรายการโดย ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาแบบออนไซต์กว่า 100 คน และผ่านระบบออนไลน์ มากกว่า 300 คน



นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า การสัมมนาและประชุมรับฟังความคิดเห็น “จากอนุสัญญาสตอกโฮล์มถึงกฎหมายไทย: อัปเดตสาร POPs” ที่จัดขึ้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยสารมลพิษตกค้างยาวนาน (POPs) สอดคล้องกับอนุสัญญาสตอกโฮล์ม ที่มีเป้าหมายสำคัญในการลดและเลิกการผลิต การใช้ และการปลดปล่อยสาร POPs โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนภายในประเทศ การจัดสัมมนาในวันนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และ UNIDO โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ครั้งที่ 12 นำเสนอแผนดำเนินงานของไทย และรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนปฏิบัติการระดับชาติ เพื่อการจัดการและกำจัดวัสดุที่ปนเปื้อนสาร POPs โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกำหนดทิศทางการจัดการสารเคมีและของเสียให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิต เพื่อลดและเลิกการใช้สาร POPs ตามเป้าหมายของอนุสัญญาสตอกโฮล์มต่อไป

อัปเดตข้อมูลจากการประชุมภาคีสมาชิกครั้งที่ 12 (COP-12) ของอนุสัญญาสตอกโฮล์ม


นางสาวปิยนันท์ อุดมแตง นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ ส่วนสารอันตราย กองจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ นำเสนอ ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์ม ครั้งที่ 12 ซึ่งมีข้อมติสำคัญ ได้แก่ การขึ้นบัญชีสาร POPs ชนิดใหม่ และ ข้อยกเว้น (SC 12/9-15), การลดและขจัดการปลดปล่อยจากขยะ (SC 12/6) และแผนการดำเนินงานของ Compliance Committee ช่วงปี ค.ศ. 2026-2027 (12/22) “อนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ มีเป้าหมายหลักในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีอันตราย โดยลด เลิก และควบคุมการผลิต การใช้ และการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (POPs) ซึ่งปัจจุบันมีบัญชีรายชื่อสาร POPs ภายใต้อนุสัญญาฯ รวม 37 รายการ ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 12 (SC COP-12) มีมติบรรจุสาร POPs ชนิดใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ Chlorpyrifos, MCCPs และ Long-chain PFCAs ในบัญชี Annex A เพื่อห้ามผลิตและใช้ พร้อมข้อยกเว้นพิเศษบางกรณี และปรับข้อยกเว้นของสาร UV-328 นอกจากนี้ ยังมีมาตรการจัดการของเสีย POPs และติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญา โดยไทยในฐานะภาคีสมาชิก ต้องเตรียมดำเนินมาตรการควบคุมและบริหารจัดการตามพันธกรณี”
แนวทางการควบคุม POPs ภายใต้ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย


นางสาวจณัญญา อ่อนศรี ผู้อำนวยการกลุ่มวิชาการและเลขานุการคณะกรรมการวัตถุอันตราย กองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม บรรยายถึงแนวทางการควบคุมสาร POPs ภายใต้ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย “ปัจจุบัน พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฯ ได้แบ่งวัตถุอันตรายออกเป็น 4 ประเภท ตามระดับความเสี่ยงและรูปแบบการควบคุม ได้แก่ ประเภทที่ 1 ต้องแจ้งข้อมูลข้อเท็จจริง ประเภทที่ 2 ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบ ประเภทที่ 3 ต้องได้รับใบอนุญาต และ ประเภทที่ 4 ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือครอบครองโดยเด็ดขาด ขณะที่บัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฉบับล่าสุด (พ.ศ. 2568) ได้ปรับปรุงข้อมูลครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสาร POPs ที่อยู่ระหว่างขยายรายการควบคุมเพิ่มเติม เน้นย้ำผู้ประกอบการต้องตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผ่านระบบหารือเคมีภัณฑ์ออนไลน์ ที่ http://haz3.diw.go.th/hazvk/”
การจัดการกากของเสียที่ปนเปื้อนสาร POPs


นางนุชนาถ สุพรรณศรี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีการกำจัดและการจัดการกากอุตสาหกรรม กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม
กรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบายถึงแนวทางการจัดการกากของเสีย และประเด็นการคัดแยกและกำจัดของเสียที่มีสาร POPs
“การจัดการกากของเสียที่ปนเปื้อนสาร POPs เป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางไม่ใช่แค่การกำจัดของเสีย แต่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การแยกประเภท การเก็บรวบรวม การขนส่ง การกำจัด ไปจนถึงการติดตามและตรวจสอบ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของสารอันตรายและลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน
การดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมระบบกำกับติดตามที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อประเภทของเสีย และการตระหนักรู้ถึงความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ก่อให้เกิดของเสีย ผู้ขนส่ง ผู้รับกำจัด ตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้กระบวนการจัดการของเสียเป็นไปอย่างปลอดภัย ครบถ้วน และลดผลกระทบในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม”
ก้าวแรกสู่แผนปฏิบัติการระดับชาติ



นางสาวประไพศรี อาสนรัตนจินดา ผู้อำนวยการส่วนสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ นำเสนอในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การขึ้นทะเบียน“ข้อยกเว้นพิเศษ” สำหรับสาร POPs กลุ่ม MCCPs “ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์ม เพื่อให้ประเทศไทยมีระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านการใช้สารทดแทนหรือกระบวนการผลิตเพื่อเลิกการใช้สารกลุ่ม MCCPs โดยกระบวนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนจำเป็นที่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคผู้ประกอบการในการให้ข้อมูลในรายการข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการผลิตและการใช้สารกลุ่ม MCCPs พร้อมแนวทางควบคุมการปลดปล่อยสารออกสู่สิ่งแวดล้อม การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน และการเฝ้าระวังการปนเปื้อน เพื่อเสนอคณะกรรมการภายในประเทศ พิจารณาก่อนแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ โดยระยะเวลาข้อยกเว้นไม่เกิน 5 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 5 ปี หากมีเหตุผลจำเป็นและได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐภาคี”

ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส เอ็มเทค สวทช. นำเสนอร่างแผนปฏิบัติการระดับชาติ เพื่อการจัดการและกำจัดวัสดุที่ปนเปื้อนสาร POPs ให้สอดคล้องพันธกรณีระหว่างประเทศ “แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการและกำจัดวัสดุที่ปนเปื้อนสารมลพิษตกค้างยาวนาน โดยเน้นสารในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น decaBDE, PFAS, และ MCCPs ที่พบในอุปกรณ์ไฟฟ้า โฟมดับเพลิง และในพลาสติกบางประเภท แผนปฏิบัติการนี้ มุ่งยกระดับทั้งด้านกฎหมาย การควบคุมการผลิต การนำเข้า การวางตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีสาร POPs ห้ามการรีไซเคิลวัสดุที่มีการปนเปื้อนเกินเกณฑ์ที่กำหนด และพัฒนาขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการในประเทศ พร้อมส่งเสริมมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ และการสื่อสารสาธารณะ เพื่อให้การจัดการสาร POPs มีประสิทธิภาพทั้งระบบ ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการครอบคลุม 6 ยุทธศาสตร์หลัก เช่น การเสริมโครงสร้างพื้นฐาน การควบคุมการหมุนเวียนวัสดุ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ เพื่อรองรับเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

การรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม
ตลอดการสัมมนา ผู้เข้าร่วมได้รับฟังข้อมูลสำคัญและร่างแผนปฏิบัติการฯ อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในช่วงสรุปอย่างสร้างสรรค์ ข้อเสนอแนะเหล่านี้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแผนฯ ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมความพร้อมของไทยในการบำบัดและกำจัดสาร POPs อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ติดตามข้อมูลและความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ POPs และเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้ที่ www.mtec.or.th/smartcircular DE4CE@mtec.or.th