
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการ MTEC และหัวหน้าโครงการวิจัย พร้อมทีมวิจัยจาก สวทช. ได้แก่ ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล และ ดร.ปรารถนา กู้เกียรติกูล ร่วมนำเสนอต้นแบบรถพยาบาลบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบริการการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัล (Digital EMS) เพื่ออุปกรณ์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)


โครงการนี้มุ่งพัฒนาต้นแบบรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่พร้อมรับมือกับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ โดยใช้แพลตฟอร์มหลัก 3 ระบบ ประกอบด้วย แพลตฟอร์มโครงสร้างรถและชุดยึดอุปกรณ์การแพทย์ที่ผ่านมาตรฐานสากล AMD Standard, SAE และ EN เพื่อความแข็งแรงปลอดภัยและการจัดวางอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงาน รองรับด้วยระบบจัดการอากาศภายในรถที่มีระบบความดันลบและอุปกรณ์แยกผู้ป่วยตามมาตรฐาน ISO 14644 และระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (Digital EMS) ที่มีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาในการส่งผู้ป่วยไปถึงสถานพยาบาล และให้การช่วยชีวิตระหว่างส่งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ Digital EMS แบ่งออกเป็น 3 ระบบย่อย คือ ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินดิจิทัล (Call Information System: CIS) แบบ Total Conversation ที่เปลี่ยนผ่านระหว่างระบบเสียง ข้อความ ภาพ และภาพเคลื่อนไหวเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้และลดเวลาในการซักถามอาการ ระบบ Emergency Telemedical Operation (ETO) ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สัญญาณชีพต่างๆ บนรถฉุกเฉินและส่งข้อมูลสัญญาณชีพไปยังเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ และแพทย์อำนวยการแบบ Real-time และระบบอำนวยทางการแพทย์ดิจิทัล (Medical Information System: MIS) ที่แสดงและประมวลผลข้อมูลประเภทต่างๆ ที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตระหว่างส่งตัวผู้ป่วยมายังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล



การนำเสนอครั้งนี้ได้รับข้อคิดเห็นและคำแนะนำจาก ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการ และคณะผู้บริหารสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พร้อมทั้ง ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และคุณวรรณพร บุญเรือง สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ต้นแบบรถ Digital EMS นี้ผ่านการทดสอบใช้งานจริงร่วมกับหน่วยเวชศาสตร์ฉุกเฉินจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และสถานพยาบาลหลายหน่วยงาน พร้อมจัดทำข้อเสนอแนวปฏิบัติ (Guideline) และโครงสร้างต้นทุน (Cost structure) เพื่อใช้เป็นต้นแบบขยายผลไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศต่อไป



