เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ยกระดับความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

28 พฤศจิกายน 2568
ณ ห้องประชุมพิบูลมังสาหาร สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

         กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา (MOU) ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์ อันเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

พิธีลงนามในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค และศาสตราจารย์ทวนทอง จุฑาเกตุ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วย ดร.ไพโรจน์ จิตรธรรม ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค และศาสตราจารย์ ดร.ศิริพร จึงสุทธิวงษ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมร่วมกัน ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการจัดตั้งเครือข่ายวิจัยและบริการวิชาการด้านเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ อันจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมในภูมิภาค

โดยที่ผ่านมา เอ็มเทค และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีความร่วมมือกันในหลายด้าน ทั้งการบรรยายพิเศษ การเป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ การพัฒนาหลักสูตร การส่งนักศึกษาฝึกประสบการณ์ ไปจนถึงการประชุมเพื่อขับเคลื่อนโจทย์วิจัยเทคโนโลยียางร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

การลงนาม MOU ครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือให้เข้มแข็งและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยจะมุ่งเน้นใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
• การทำวิจัยร่วมและพัฒนานวัตกรรม
• การพัฒนาห้องปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัสดุศาสตร์
• การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
• การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน ผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่

ซึ่งจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศตามแนวทาง BCG Economy Model และเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานคาดว่าจะเป็นพลังสำคัญในการยกระดับศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในระยะยาว