วิจัยชี้ “นาตอซัง” ช่วยเพิ่มผลิตภาพการใช้น้ำและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568
ณ ชุมชนบ้านศาลาดิน จังหวัดนครปฐม

          กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) จัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายการจัดการน้ำชุมชนครั้งที่ 2 เพื่อนำเสนอผลการวิจัยซึ่งยืนยันว่าเทคนิค “นาล้มตอซัง” หรือ “นาตัดตอซัง” เป็นทางเลือกสำคัญในการรับมือวิกฤตน้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในเวทีโลก

โครงการวิจัยครั้งนี้ นำโดย ดร.เปรมฤดี กาญจนปิยะ นักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ซึ่งได้ประเมินผลด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของเทคนิคตอซังอย่างเป็นระบบ พบว่าการทำนาแบบตอซังช่วยเพิ่มผลิตภาพการใช้น้ำทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผลการประเมินค่า EWP หรือ Economic Water Productivity ที่นำเสนอโดยคุณเกริกชัย อินทร์ปอ ผู้ช่วยวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ชี้ว่า การทำนาแบบตอซังสามารถเพิ่มค่า EWP ได้มากกว่า 200 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการทำนาปกติ สาเหตุสำคัญมาจากการใช้น้ำชลประทานที่ลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกันต้นข้าวเดิมยังให้ผลผลิตรอบใหม่ได้ ทำให้มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงขึ้นจากการใช้ทรัพยากรน้ำน้อยลง

ดร.อรอุมา สันตวิธี นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้นำเสนอผลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของข้าวเปลือก ซึ่งพบว่าการทำนาแบบตอซังช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ได้ร้อยละ 16 ถึง 21 เมื่อเทียบกับนาปกติ เนื่องจากกระบวนการทำนาตอซังมีขั้นตอนที่น้อยกว่า ช่วยลดการใช้เมล็ดพันธุ์ ลดการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ลดขั้นตอนการเตรียมดิน ลดการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงลดช่วงเวลาที่ใช้ในการขังน้ำระหว่างการเพาะปลูกซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนอย่างชัดเจน จึงส่งผลให้การทำนาตอซังมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการทำนาปกติ ผลวิจัยดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถต่อยอดสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต

ภายในงานยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากคุณวกราวรรณ อ่อนสุขใส นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอทรายทองวัฒนา และเกษตรกรต้นแบบจากอำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งยืนยันว่าเทคนิคตอซังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้หลายพันบาทต่อไร่ พร้อมช่วยให้บริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เกษตรกรยังได้ถ่ายทอดเทคนิคที่นำไปสู่ความสำเร็จ เช่น การตัดตอข้าวให้ต่ำประมาณ 4 นิ้ว เพื่อกระตุ้นให้ข้าวแตกหน่อใหม่ได้สม่ำเสมอ รวมถึงเทคนิคการขับรถเกี่ยวแบบ “วิ่งย้อนแนว” เพื่อให้ตอข้าวถูกตัดขาดอย่างทั่วถึง

ด้าน ดร.บุญลือ คะเชนทร์ชาติ อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงวิธีการวัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ใช้ในโครงการ โดยทีมวิจัยได้ประเมินรอยเท้าค่าน้ำสีเทาด้วยท่อ “คอควาย” เพื่อวัดปริมาณน้ำที่ซึมออกจากแปลงนา และใช้เทคนิคการวัดก๊าซมีเทนด้วยอุปกรณ์ Closed Chamber ก่อนนำไปวิเคราะห์ด้วยแก๊สโครมาโตกราฟี วิธีการเหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลด้าน EWP และ CFP มีความน่าเชื่อถือและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

ด้าน คุณประชุมพงษ์ แดงสกุล นักวิจัยเนคเทค สวทช. และคณะ ได้อธิบายการทำงานของสถานีวัดสภาพอากาศและระบบการวัดค่าระดับน้ำในแปลงนาทดลองด้วยระบบอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things: IoT) โดยข้อมูลที่บันทึกได้จะส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตไปเก็บยังฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการประเมินค่ารอยเท้าน้ำสีน้ำเงิน และสีเขียว

ความสำเร็จของโครงการสะท้อนให้เห็นว่าการนำนวัตกรรมจากงานวิจัยของ สวทช. และพันธมิตรไปประยุกต์ใช้จริงในพื้นที่ สามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจของชุมชน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม การขับเคลื่อนเทคนิค “นาตอซัง” จึงเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันภาคการเกษตรไทยสู่เป้าหมาย “ข้าวคาร์บอนต่ำ” และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่มุ่งสู่มาตรฐานความยั่งยืน พร้อมสะท้อนบทบาทของ สวทช. ในฐานะแหล่งสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโซลูชันที่ตอบโจทย์ปัญหาระดับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม