อุตสาหกรรมพลาสติกไทยผนึกกำลังสู่ Net Zero 2050: เร่งพลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน รับมือกฎโลก

18 กรกฎาคม 2568
ณ โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ

           ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมกับสมาคมโพลิเมอร์แห่งประเทศไทย และสมาคมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทย จัดการสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “พลิกโฉมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกไทยสู่ความยั่งยืน” โดยเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมวิชาการนานาชาติโพลิเมอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 (PCT-15) งานนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกไทยให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืนระดับสากล

           ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้ให้เกียรติเข้าร่วมในฐานะหน่วยงานสนับสนุนหลักของการจัดงาน PCT-15 ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านโพลิเมอร์และวัสดุ เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ดร.กตัญชลี ไม้งาม นักวิจัยอาวุโส เอ็มเทค สวทช. ได้รับเชิญบรรยายในหัวข้อ “Growth Factors in Regenerative Medicine: From Bench-Top to Market” ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของ Biomaterial และ Biomedical Polymers ในการแพทย์ พร้อมทั้งเอ็มเทค สวทช. ได้จัดบูทนำเสนอผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องภายในงานด้วย

           ในการประชุมครั้งนี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้บรรยายในหัวข้อ “กระแสสิ่งแวดล้อมโลกและแนวทางการจัดการพลาสติกสู่ความยั่งยืน” เน้นย้ำถึงสถานการณ์ขยะในประเทศไทยที่มีปริมาณสูงถึง 27-28 ล้านตันต่อปี แต่กลับสามารถรีไซเคิลได้เพียง 30-35% เท่านั้น โดยกว่า 80% ของขยะพลาสติก มาจากแหล่งบนบก และชี้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวพลาสติก แต่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมและการขาดความร่วมมือ จึงเสนอแนวทางให้ใช้พลาสติกอย่างชาญฉลาดและนำกลับมาใช้ซ้ำให้ได้มากที่สุด

สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้กล่าวถึงแผนการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 (โดยใช้ปีฐาน 2011) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดสรรงบประมาณกว่า 3,795 ล้านบาท สำหรับการวิจัยในช่วงปี 2570–2575 โดยเน้นการบูรณาการระบบทุนวิจัยและการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการจัดการพลาสติกอย่างเข้มข้น

คุณสุนทร ยงค์วิบูลศิริ จากสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับกฎระเบียบจากสหภาพยุโรป เช่น PPWR และข้อตกลงพลาสติกโลก ที่กำลังกดดันผู้ประกอบการไทยให้ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะแนวคิด Extended Producer Responsibility (EPR) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2570 และจะมีการจัดตั้งองค์กร PRO เพื่อจัดเก็บค่าบริการจากผู้ผลิตตามประเภทและความยากง่ายของบรรจุภัณฑ์ในการจัดการ พร้อมกันนี้ ยังมีระบบ Eco-modulation ที่ส่งเสริมให้ผู้ผลิตออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลง่ายเพื่อลดต้นทุน

          หลังจากได้รับฟังภาพรวมความท้าทายและกฎระเบียบต่าง ๆ เวทีได้เข้าสู่ช่วงเสวนาในหัวข้อ “เส้นทางสู่บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน – เจาะลึกแนวคิดจากเจ้าของแบรนด์ ผู้ผลิต และนักออกแบบ” ซึ่งดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ทวีชัย อมรศักดิ์ชัย นายกสมาคมโพลิเมอร์แห่งประเทศไทย และ ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในช่วงนี้ ผู้แทนภาคธุรกิจได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่น่าสนใจ โดย คุณโชตินรินทร์ วิภาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน และเลขาธิการสมาคมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการบรรจุภัณฑ์ Mono-material แบบยืดหยุ่น ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าส่งออก พร้อมทั้งเสนอทางเลือกอย่างการใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง มาทดแทนพลาสติก ในส่วนของ คุณรุ่งโรจน์ บุนฑารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เบสท์ อินเตอร์ โปรดักส์ จำกัด ได้นำเสนอการใช้ Post-Consumer Recycled (PCR) สูงถึง 100% โดยยึดหลักแนวคิด 3Rs และเปลี่ยนมุมมองต่อ “ขยะ” โดยเรียกว่า “ขยัน” และส่งเสริมให้ทุกคน “ช่วยกันแยกขยัน” เพื่อนำพลาสติกกลับเข้าสู่ระบบให้ได้มากที่สุด ขณะที่ คุณวัฒนา กฤษณาวารินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนำโพลีแพค จำกัด ได้ใช้แนวทาง BCG Economy อย่างครบวงจร ทั้งด้าน Bio ผ่านการพัฒนา Biocompostable polymer, Circular ด้วยการผลิต Mono-PE/PP และการใช้ PCR 30% ที่ได้มาตรฐาน GRS รวมถึงด้าน Green โดยการลดการใช้พลาสติกผ่านเทคโนโลยี Down-gauging ได้เปลี่ยนมุมมองต่อ “ขยะ” โดยเรียกว่า “ขยัน” และส่งเสริมให้ทุกคน “ช่วยกันแยกขยัน” เพื่อนำพลาสติกกลับเข้าสู่ระบบให้ได้มากที่สุด

          ผู้ประกอบการได้แสดงข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อภาครัฐและนักวิจัย โดยเรียกร้องให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันในเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับต้นทุนของภาคธุรกิจ พร้อมทั้งเสนอให้มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Footprint of Product (CFP) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน สิ่งสำคัญคือการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี Barrier Coating สำหรับ Mono-material และวัสดุ Bio-based คุณภาพสูงที่สามารถทดแทนวัสดุเดิมได้โดยไม่ลดประสิทธิภาพ

          กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่จำเป็นอย่างยิ่งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิจัย ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกไทยให้เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในระยะยาว